11 เคล็ดลับ SEO สำหรับมือใหม่ ที่จะช่วยพัฒนาเว็บไซต์ของคุณ

ทุกคนที่สร้างเว็บไซต์แรกต้องเผชิญกับปัญหามากมายที่ทำให้เว็บไซต์ไม่สามารถขึ้นสู่อันดับสูงสุดใน Google ได้ มีปัญหาหลายอย่าง และเราต้องอ่านหนังสือและบทความเกี่ยวกับ SEO จำนวนมากเพื่อหาสิ่งที่ควรปรับปรุง เราจึงตัดสินใจที่จะนำเสนอ 11 เคล็ดลับ SEO ที่ดีที่สุดสำหรับมือใหม่ที่ช่วยได้มาก ตอนนี้เคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยคุณในการสร้างเว็บไซต์ที่ถูกต้อง

1. การตั้งค่าดัชนี การลบหน้าเว็บที่ซ้ำกัน

การตั้งค่าดัชนีของเว็บไซต์ส่งผลต่อหน้าที่เครื่องมือค้นหาสามารถดูและแสดงในผลการค้นหา หากไม่ตั้งค่าที่จำเป็น ดัชนีจะรวมถึงแผงควบคุม การตั้งค่าข้อมูลโปรไฟล์ที่ซ่อนอยู่ หน้าเว็บที่ซ้ำกัน และข้อมูลที่ไม่จำเป็นต่าง ๆ วิธีการตั้งค่าดัชนี? ความจริงก็คือแต่ละ CMS (ระบบจัดการเนื้อหา) มีข้อบกพร่องของตัวเองที่ต้องแก้ไขด้วยมือ ดังนั้นเราจะอธิบายข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดและวิธีการแก้ไข

ข้อผิดพลาดในการตั้งค่าดัชนีที่พบบ่อย

  • การตั้งค่าดัชนีของแอดมิน แผงควบคุมถูกจัดทำดัชนี ซึ่งเป็นที่ที่เว็บไซต์เองถูกแก้ไขเพื่อแก้ปัญหานี้ คุณต้องลงทะเบียนบรรทัดต่อไปนี้ในไฟล์ robots.txt : Disallow: /wp-admin (ลิงก์ที่คุณใช้ในการเข้าถึงแผงควบคุม) หากไม่มี robots.txt อย่าลืมสร้าง ตั้งค่า และอัปโหลดไปยัง Yandex และ Google Webmaster

 

  • การตั้งค่าเว็บไซต์มิเรอร์ คุณควรกำหนดทันทีว่าเว็บไซต์จะถูกแสดงเป็น http://www.site.ru หรือ http://site.ru จะเกิดขึ้นบ่อยที่เว็บไซต์สามารถเข้าถึงได้ที่หลายที่อยู่พร้อมกัน ส่งผลให้เนื้อหาซ้ำซ้อน ซึ่งทำลายเว็บไซต์ ดังนั้นจึงมีการตั้งค่ามิเรอร์ (การเปลี่ยนเส้นทาง) ซึ่งจะถูกลงทะเบียนในแผงควบคุมเว็บไซต์ และเขียนใน robots.txt ที่ส่วนท้ายของไฟล์
    Host: Welcome to EsyWord! ถ้าคุณต้องการให้มี www เป็นหลัก และถ้าไม่เช่นนั้นจะถือว่าเป็นมิเรอร์

 

  • หน้าแรกที่ซ้ำกัน (index และไม่มี) สำหรับบางคน หน้าหลักสามารถเข้าถึงได้ที่สองที่อยู่ http://site.ru และ http://site.ru/index เนื่องจากเป็นเนื้อหาที่ซ้ำกัน จึงถูกลบด้วยการตั้งค่า .htaccess (ตั้งอยู่ที่รากของเว็บไซต์ สามารถเข้าถึงได้ผ่านโฮสติ้ง) ในไฟล์ .htaccess หลังคำว่า “RewriteEngine On” ให้แทรกหนึ่งในบรรทัดต่อไปนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบหน้าที่คุณต้องการ

ในกรณีของ index.php

RewriteCond% {THE_REQUEST} ^ [A-Z] {3.9} \ / index \ .php \ HTTP /
RewriteRule ^ index \ .php $ http: // site / [R = 301, L]

ในกรณีของ index.html

RewriteCond% {THE_REQUEST} ^ [A-Z] {3.9} \ / index \ .html \ HTTP /
RewriteRule ^ index \ .html $ http: // site / [R = 301, L]

นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่เว็บไซต์จะสามารถเข้าถึงได้เช่น http://site.ru และหน้า http://site.ru/page=1 หรือ http://site.ru/page/1 และลักษณะอื่น ๆ ซึ่งจะมีการกำหนด rel = “canonical” สำหรับหน้าเหล่านี้ อย่าลืมว่าคุณต้องกำจัดหน้าที่ซ้ำทั้งหมด หรือแสดงให้เครื่องมือค้นหาเห็นว่าพวกเขาคือสำเนา มิฉะนั้น คุณอาจตกอยู่ในกรอง สูญเสียตำแหน่ง และหน้าทั้งหมดจะหลุดออกจากดัชนี

2. ทำความเข้าใจพื้นฐานของ SEO

เริ่มต้นด้วยการเรียนรู้พื้นฐานของ SEO จำเป็นต้องรู้แนวคิดหลักดังนี้

  • On-Page SEO หมายถึงการปรับแต่งองค์ประกอบบนเว็บไซต์โดยตรง เช่น เนื้อหา แท็ก HTML และโครงสร้างของเว็บไซต์
  • Off-Page SEO มุ่งเน้นที่ปัจจัยภายนอก เช่น การสร้างลิงก์ย้อนกลับ (ลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของคุณ) และสัญญาณจากโซเชียลมีเดีย
  • Technical SEO เกี่ยวข้องกับการปรับแต่งเบื้องหลังของเว็บไซต์ เช่น การเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้า ความเป็นมิตรต่ออุปกรณ์เคลื่อนที่ และการทำให้เว็บไซต์สามารถถูกจัดทำดัชนีได้
  • Local SEO ช่วยให้คุณปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับการค้นหาในพื้นที่เฉพาะ ซึ่งสำคัญสำหรับธุรกิจที่มีที่ตั้งทางกายภาพ

3. ค้นหาทรัพยากร SEO

มีแหล่งข้อมูลฟรีมากมายที่จะช่วยให้คุณเข้าใจแนวคิด SEO

  • คู่มือเริ่มต้น SEO ของ Google เป็นการแนะนำโดยตรงจากแหล่งข้อมูลหลัก
  • บทความ บทความ SEO ที่มีชื่อเสียงอย่าง Moz, Ahrefs, Backlinko และ SEMrush ให้ข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และอัปเดตเกี่ยวกับเทรนด์ SEO ล่าสุด
  • วิดีโอ YouTube ช่องอย่าง Neil Patel, Ahrefs และ SEMrush มีวิดีโอสอนสำหรับผู้เริ่มต้น
  • คอร์ส SEO พิจารณาเรียนคอร์ส SEO ฟรีหรือราคาย่อมเยาที่มีอยู่บนแพลตฟอร์มอย่าง Coursera, Udemy หรือ LinkedIn Learning

4. เรียนรู้เกี่ยวกับการวิจัยคีย์เวิร์ด

คีย์เวิร์ดคือพื้นฐานของ SEO เพราะสะท้อนสิ่งที่ผู้ใช้กำลังค้นหา คุณควร

  • ใช้เครื่องมือวิจัยคีย์เวิร์ดอย่าง Google Keyword Planner, Ubersuggest หรือเวอร์ชันฟรีของ Ahrefs และ SEMrush
  • ระบุเจตนาการค้นหา: ผู้ใช้กำลังมองหาอะไร? พวกเขากำลังค้นหาเพื่อซื้อ (เจตนาเชิงธุรกรรม) เรียนรู้ (เจตนาข้อมูล) หรือค้นหาเว็บไซต์เฉพาะ (เจตนาการนำทาง)
  • โฟกัสที่คีย์เวิร์ดยาว (Long-tail Keywords): ซึ่งเป็นวลีที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น (เช่น “ซื้อกางเกงยีนส์ผู้หญิงออนไลน์”) ซึ่งมักจะมีการแข่งขันต่ำและมีโอกาสแปลงสูงกว่า

5. ปรับแต่ง On-Page SEO

เมื่อคุณรู้ว่าคีย์เวิร์ดไหนที่คุณต้องการโฟกัสแล้ว เริ่มต้นปรับแต่งเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณ

  • Title tags ใช้คีย์เวิร์ดหลักในแท็กชื่อของแต่ละหน้า (ควรอยู่ในช่วง 50-60 ตัวอักษร)
  • Meta descriptions เขียนคำอธิบายเมตาที่น่าสนใจ (150-160 ตัวอักษร) เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้คลิก
  • Header tags (H1, H2, H3, ฯลฯ) ใช้แท็กเหล่านี้เพื่อจัดโครงสร้างเนื้อหา โดย H1 ควรมีคีย์เวิร์ดหลัก
  • เนื้อหา ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาของคุณมีคุณภาพสูง ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และใช้คีย์เวิร์ดอย่างเป็นธรรมชาติ หลีกเลี่ยงการยัดคีย์เวิร์ด
  • โครงสร้าง URL ทำให้ URL สั้น อ่านง่าย และมีคีย์เวิร์ด (เช่น https://esyword.com/)

6. ปรับปรุง Technical SEO

เครื่องมือค้นหาจำเป็นต้องสามารถรวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีเว็บไซต์ของคุณได้อย่างถูกต้อง ต่อไปนี้คือวิธีเริ่มต้นกับ Technical SEO:

  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นมิตรต่ออุปกรณ์เคลื่อนที่ ใช้เครื่องมือทดสอบความเป็นมิตรต่อมือถือของ Google เพื่อตรวจสอบ
  • เพิ่มความเร็วในการโหลดหน้า เว็บไซต์ที่โหลดเร็วขึ้นจะมีผล SEO ที่ดีกว่า ใช้เครื่องมืออย่าง Google PageSpeed Insights เพื่อตรวจสอบและปรับปรุง
  • สร้างแผนผังเว็บไซต์ XML แผนผังเว็บไซต์ XML ช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น แพลตฟอร์มอย่าง WordPress มีปลั๊กอิน (เช่น Yoast) ที่สร้างแผนผังเว็บไซต์ได้อัตโนมัติ
  • แก้ไขลิงก์ที่เสีย ลิงก์ที่เสียมีผลเสียต่อประสบการณ์ผู้ใช้และ SEO ใช้เครื่องมืออย่าง Screaming Frog เพื่อตรวจสอบและแก้ไข

7. สร้าง Backlinks (Off-Page SEO)

Backlinks หรือลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของคุณ เป็นสัญญาณบอกเครื่องมือค้นหาว่าเนื้อหาของคุณมีคุณค่า ต่อไปนี้คือกลยุทธ์บางประการ:

  • Guest posting เขียนบทความสำหรับเว็บไซต์อื่นพร้อมกับลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของคุณ
  • สร้างเนื้อหาที่สามารถแชร์ได้ ผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ น่าสนใจ หรือให้ความรู้ที่คนอื่นต้องการลิงก์หรือแชร์
  • สร้างเครือข่าย สร้างความสัมพันธ์กับบล็อกเกอร์ ผู้มีอิทธิพล และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่อาจลิงก์ไปยังเนื้อหาของคุณ
  • การลงทะเบียนไดเรกทอรี ส่งธุรกิจของคุณไปยังไดเรกทอรีออนไลน์คุณภาพสูงหรือรายการท้องถิ่น เช่น Google My Business เพื่อประโยชน์จาก Local SEO

8. ใช้เครื่องมือ SEO

ใช้เครื่องมือ SEO เพื่อช่วยในด้านต่างๆ ของการปรับแต่ง

  • Google Search Console ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ข้อผิดพลาดในการรวบรวมข้อมูล อันดับคีย์เวิร์ด และอื่นๆ
  • Google Analytics ช่วยติดตามการเข้าชม การแปลง และพฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์ของคุณ
  • Yoast SEO (สำหรับ WordPress) ปลั๊กอินยอดนิยมที่ช่วยในเรื่อง On-Page SEO, Meta tags, XML sitemaps และอื่นๆ
  • Screaming Frog โปรแกรมรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ที่ช่วยคุณตรวจสอบปัญหา Technical SEO

9. ติดตามและวัดผลลัพธ์ของคุณ

SEO เป็นกระบวนการระยะยาว ดังนั้นคุณต้องติดตามความก้าวหน้าอย่างสม่ำเสมอ

  • การจัดอันดับคีย์เวิร์ด ติดตามว่าเว็บไซต์ของคุณมีอันดับอย่างไรสำหรับคีย์เวิร์ดเป้าหมายโดยใช้เครื่องมืออย่าง SEMrush หรือ Ahrefs
  • การเข้าชมจากการค้นหาแบบออร์แกนิก ใช้ Google Analytics เพื่อตรวจสอบปริมาณการเข้าชมที่มาจากเครื่องมือค้นหา
  • อัตราการแปลง ตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณแปลงผู้เยี่ยมชมได้ดีแค่ไหน (เช่น การสมัคร การซื้อ)

 

11 เคล็ดลับ SEO สำหรับมือใหม่ที่จะช่วยพัฒนาเว็บไซต์ของคุณ

10. อัปเดตตัวเองอยู่เสมอ

SEO มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นควรเรียนรู้และอัปเดตอยู่เสมอกับการเปลี่ยนแปลงอัลกอริธึมและเทรนด์ในอุตสาหกรรม

  • ติดตามผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมบนโซเชียลมีเดีย (เช่น Neil Patel, Rand Fishkin, Barry Schwartz)
  • เข้าร่วมฟอรั่ม SEO เช่น ชุมชน SEO ของ Reddit, Moz Q&A หรือกลุ่ม SEO บน LinkedIn

11. อดทนและสม่ำเสมอ

SEO ต้องใช้เวลาในการเห็นผลลัพธ์ ดังนั้นความอดทนและความสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ มุ่งมั่นในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ปรับแต่งเว็บไซต์ และปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจากข้อมูลและคำติชมจากเครื่องมือ

บทสรุป 11 เคล็ดลับ SEO สำหรับมือใหม่ ที่จะช่วยพัฒนาเว็บไซต์ของคุณ

การทำ SEO สำหรับเว็บไซต์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่อาจเจอปัญหาหลายประการ บทความนี้ได้แนะนำ 11 เคล็ดลับ SEO ที่สำคัญเพื่อช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถทำอันดับได้ดีขึ้นในเสิร์ชเอนจิน เริ่มตั้งแต่การตั้งค่าการทำดัชนีเพื่อลบหน้าที่ซ้ำ การเลือกคีย์เวิร์ดอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดโครงสร้างหมวดหมู่และชื่อที่เหมาะสม การเขียนเนื้อหาคุณภาพและออกแบบอย่างดี การเชื่อมโยงลิงก์ภายในให้มีคุณภาพ การใช้โซเชียลมีเดียในการโปรโมต และการวิเคราะห์คู่แข่งเพื่อปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น

ดังนั้น ให้ดูที่คู่แข่งของคุณ ว่าพวกเขามีเว็บไซต์แบบไหน จำนวนตัวอักษรในบทความมีจำนวนเท่าใด มีลิงก์จำนวนเท่าไร การนำทางสะดวกหรือไม่ ฯลฯ จากนั้นสรุปและพยายามทำให้ดีกว่าคู่แข่งของคุณ

Share this

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *